ภาพนี้แสดงให้เห็นผู้ซื้อที่กำลังอ่านฉลากอาหารอย่างละเอียดเพื่อดูข้อมูลสำคัญก่อนตัดสินใจซื้อ

10 ข้อมูลสำคัญที่ต้องดูบนฉลากอาหาร มีอะไรบ้าง

คุณเคยสังเกตฉลากบนบรรจุภัณฑ์อาหารบ้างหรือไม่ หลายคนอาจมองข้ามไป แต่รู้หรือไม่ว่า การอ่านฉลากอาหารให้เป็น จะช่วยให้เราเลือกซื้อและบริโภคอาหารได้อย่างปลอดภัย เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย วันนี้เราจะพาไปดู 10 ข้อมูลสำคัญบนฉลากอาหารที่คุณไม่ควรพลาด เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณและคนที่คุณรัก

ข้อมูลสำคัญที่ต้องดูบนฉลากอาหาร

1.วันที่ผลิตและวันหมดอายุ

ข้อมูลแรกที่ต้องสังเกตคือ วันที่ผลิตและวันหมดอายุ เพื่อให้มั่นใจว่าอาหารยังอยู่ในสภาพที่ปลอดภัยสำหรับการบริโภค หากรับประทานอาหารที่หมดอายุเข้าไป อาจเสี่ยงต่อการเกิดอาการท้องเสีย อาหารเป็นพิษได้ ดังนั้นอย่าลืมตรวจสอบวันหมดอายุก่อนหยิบใส่ตะกร้าทุกครั้งนะคะ

2.วิธีการเก็บรักษา

ต่อมาคือ วิธีการเก็บรักษา คำแนะนำบนฉลากจะช่วยให้เรารู้ว่าควรเก็บอาหารอย่างไร ที่อุณหภูมิเท่าไร เพื่อรักษาคุณภาพและความสดใหม่ของอาหารไว้ได้นานที่สุด เช่น เก็บในตู้เย็น แช่แข็ง หรือเก็บในที่แห้งและเย็น เป็นต้น ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด จะช่วยยืดอายุการเก็บรักษาอาหารได้ยาวนานขึ้น

3.ชื่อและประเภทของอาหาร

สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ ชื่อและประเภทของอาหาร ชื่อที่ชัดเจนจะบอกเราได้ทันทีว่ากำลังซื้ออะไร เป็นอาหารประเภทไหน เช่น ขนมปัง นม ไอศกรีม ฯลฯ ข้อมูลนี้จะช่วยให้เราเลือกซื้อได้ตรงกับความต้องการ และหลีกเลี่ยงการซื้อผิดประเภท

4.ส่วนประกอบ

ส่วนประกอบเป็นอีกหนึ่งข้อมูลสำคัญที่บอกเราว่าในอาหารชนิดนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง โดยจะเรียงลำดับส่วนประกอบจากปริมาณมากไปน้อย ทำให้เราประเมินได้ว่าอาหารนั้นมีสารอาหารหรือส่วนผสมที่เราต้องการหรือหลีกเลี่ยงมากน้อยแค่ไหน เช่น ถ้าต้องการทานอาหารที่มีธัญพืชเป็นหลัก ก็ควรเลือกที่มีธัญพืชอยู่ในลำดับต้น ๆ ของส่วนประกอบ

5.ปริมาณสุทธิ

ปริมาณสุทธิจะระบุน้ำหนักหรือปริมาตรของอาหารทั้งหมดในบรรจุภัณฑ์ เช่น 100 กรัม หรือ 200 มิลลิลิตร เป็นต้น ข้อมูลนี้จะช่วยให้เราเปรียบเทียบความคุ้มค่าเมื่อซื้อสินค้าที่มีขนาดแตกต่างกัน อีกทั้งยังใช้ในการคำนวณปริมาณการบริโภคในแต่ละวันได้อีกด้วย

6.เครื่องหมาย อย.

เครื่องหมาย อย. หรือเลขสารบบอาหารเป็นสิ่งที่การันตีว่าผลิตภัณฑ์อาหารนั้นผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้วว่ามีความปลอดภัยและได้มาตรฐาน หากไม่มีเครื่องหมายนี้ ก็ควรหลีกเลี่ยงเพื่อความปลอดภัยของตัวเราเองและครอบครัว

7.ข้อมูลโภชนาการ

ข้อมูลโภชนาการจะแสดงปริมาณพลังงาน ไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ร่างกายจะได้รับจากการบริโภคอาหารนั้น ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก เลือกทานอาหารตามโภชนาการที่เหมาะสม หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เป็นต้น

8.คำเตือนเกี่ยวกับสารก่อภูมิแพ้

สำหรับผู้ที่แพ้อาหารบางชนิด การอ่านคำเตือนเกี่ยวกับสารก่อภูมิแพ้เป็นเรื่องจำเป็นมาก เช่น ถ้าแพ้ถั่ว ก็ต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนประกอบของถั่ว หรือผลิตในสายการผลิตเดียวกับถั่ว ไม่เช่นนั้นอาจเกิดอาการแพ้รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้นอย่ามองข้ามคำเตือนบนฉลากเด็ดขาด

9.ข้อความเกี่ยวกับคุณค่าทางโภชนาการ

บางครั้งเราอาจเห็นข้อความเกี่ยวกับคุณค่าทางโภชนาการ เช่น “ไขมันต่ำ” “รสหวานจากธรรมชาติ” หรือ “แคลเซียมสูง” ปรากฏบนฉลากอาหาร ข้อความเหล่านี้จะช่วยให้เราเลือกอาหารที่เหมาะสมกับเป้าหมายสุขภาพของตัวเองได้ง่ายขึ้น เช่น หากต้องการเสริมแคลเซียม ก็มองหาผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่ามีแคลเซียมสูง หรือหากต้องการควบคุมน้ำหนัก ก็เลือกอาหารที่ไขมันต่ำ เป็นต้น

10.ข้อมูลผู้ผลิต

สุดท้ายคือ ข้อมูลของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า ซึ่งมักจะมีชื่อและที่อยู่ติดต่อระบุไว้ หากมีข้อสงสัยหรือพบปัญหาเกี่ยวกับสินค้า เราสามารถติดต่อสอบถามผู้ผลิตได้โดยตรง อีกทั้งยังช่วยให้เรามั่นใจได้ว่าบริษัทมีตัวตนจริง ไม่ใช่บริษัทเถื่อน ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือในตัวผลิตภัณฑ์มากยิ่งขึ้น

ภาพนี้แสดงผู้บริโภคที่กำลังตรวจสอบคำบนฉลากที่อาจทำให้เข้าใจผิดได้

คำที่อาจทำให้เข้าใจผิดบนฉลากอาหาร

  • ธรรมชาติ (Natural): คำนี้มักทำให้ผู้บริโภคคิดว่าผลิตภัณฑ์นั้นปลอดภัยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ความเป็นจริงแล้ว คำว่า “ธรรมชาติ” บนฉลากไม่ได้มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน อาจหมายถึงเพียงแค่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ แต่ก็อาจมีการเติมวัตถุกันเสียหรือสารปรุงแต่งอื่นๆ เพิ่มเติมได้
  • ออร์แกนิก (Organic): ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกจะต้องผลิตโดยปราศจากการใช้สารเคมีสังเคราะห์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีแคลอรี่หรือไขมันเลย การเลือกผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกควรพิจารณาควบคู่กับฉลากโภชนาการด้วย
  • ไร้ไขมัน (Fat-free): ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าไร้ไขมันอาจมีปริมาณน้ำตาลสูงเพื่อทดแทนรสชาติที่หายไป ทำให้ผู้บริโภคอาจได้รับพลังงานจากน้ำตาลมากเกินไป
  • ลดไขมัน (Low-fat): ผลิตภัณฑ์ลดไขมันอาจมีการเพิ่มปริมาณโซเดียมหรือน้ำตาลเพื่อชดเชยรสชาติที่ลดลง
  • ไม่ใส่วัตถุกันเสีย (No preservatives): แม้จะดูน่าสนใจ แต่การไม่มีวัตถุกันเสียอาจทำให้ผลิตภัณฑ์บูดเสียได้เร็วขึ้น และอาจมีการเติมสารอื่นๆ เข้าไปแทน
  • เสริมวิตามิน (Fortified): ผลิตภัณฑ์เสริมวิตามินอาจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดว่าเพียงแค่บริโภคผลิตภัณฑ์นี้ก็จะได้รับวิตามินเพียงพอ แต่การได้รับวิตามินจากอาหารธรรมชาติยังคงมีความสำคัญมากกว่า
ภาพนี้แสดงผู้บริโภคที่กำลังอ่านฉลากอย่างละเอียด

ตัวอย่างที่พบเห็นบ่อย

  • น้ำผลไม้: น้ำผลไม้บางชนิดอาจมีการเติมน้ำตาลจำนวนมากเพื่อเพิ่มรสชาติ ทำให้มีปริมาณน้ำตาลสูงไม่ต่างจากน้ำอัดลม
  • ขนมขบเคี้ยว: ขนมขบเคี้ยวที่ระบุว่า “ไร้ไขมัน” อาจมีการเติมน้ำตาลและโซเดียมในปริมาณสูง
  • โยเกิร์ต: โยเกิร์ตบางชนิดอาจมีการเติมน้ำตาลและวัตถุปรุงแต่งรสชาติ ทำให้สูญเสียคุณค่าทางโภชนาการไป
ภาพนี้แสดงผู้บริโภคที่กำลังตรวจสอบฉลากโยเกิร์ต

วิธีการป้องกัน

  1. อ่านฉลากอย่างละเอียด: อ่านฉลากให้ครบทุกบรรทัด โดยเฉพาะส่วนประกอบและฉลากโภชนาการ
  2. เปรียบเทียบฉลาก: เปรียบเทียบฉลากของผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกัน เพื่อเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ดีต่อสุขภาพมากกว่า
  3. ระวังคำที่ทำให้เข้าใจผิด: อย่าหลงเชื่อคำที่ดูน่าสนใจบนฉลากเพียงอย่างเดียว
  4. เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมน้อยที่สุด: ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมน้อยที่สุดมักจะมีส่วนผสมที่เป็นธรรมชาติมากกว่า
  5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากมีข้อสงสัย สามารถปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการได้

สรุป

จะเห็นได้ว่าฉลากอาหารเป็นมากกว่าแค่ข้อมูลทั่วไป แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารที่ดีต่อสุขภาพ การอ่านฉลากอย่างละเอียด จะทำให้เราได้อาหารที่สด สะอาด ปลอดภัย และมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย อีกทั้งยังช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บในระยะยาวได้อีกด้วย ดังนั้น ต่อไปนี้อย่าลืมหันมาใส่ใจกับฉลากอาหารกันให้มากขึ้นนะคะ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงของทุกคนในครอบครัว